📌ใกล้ถึงวันที่รอคอย
🍁เทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีทั้งเกาะ-ฮอกไกโด
🍁เริ่มต้นเดือน กันยายน-ธันวาคม ของทุกปี
🍁อากาศกำลังเย็นสบายในตอนกลางวันอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 10 กว่าองศาเซลเซียส และจะหนาวลงอีกในตอนเช้าและตอนเย็น
🍁จึงเป็นฤดูที่เหมาะกับการลงแช่อนเซ็นเพื่อคืนความอบอุ่นให้แก่ร่างกายที่หนาวเย็นหลังจากตระเวนเที่ยวมาจนทั่ว
🍁สถานที่ท่องเทียวต้องไปเยื่อน
✅หุบเขาจิโกคุดานิ
✅สระน้ำสีฟ้า-Blue pond
✅นั่งกระเช้าคุรุดาเกะ
✅หอนาฬิกา
✅ธรรมเนียมรัฐบาลเก่า
✅ช้อปปิ้งอิสระถนน ทานุกิโคจิ
✅คลองโอตารุ
✅น้ำตกริวเซโนะทาคิ-น้ำตกกิงกะ
———————
คลิ๊กรายละเอียด
https://bit.ly/2OqiL21
————————
สอบถามเพิ่มเติม
https://line.me/R/ti/p/%40powertravel
——————————-
💬 สนใจติดต่อสอบถามได้ที่
☎Tel : 02-1300126
Hotline : 089-168-7611 คุณสุ
Hotline : 089-811-9034 คุณอร
💻 Website : http://www.powertravels.com/
#ใบไม้เปลี่ยนสี#ฮอกไกโดใบไม้ร่วง
#คลองโอตารุ#Bluepond#
ไดเซ็ทสึซัง (Daisetsuzan) เป็นชื่อเรียกของกลุ่มภูเขาไฟที่อยู่ตอนกลางของเกาะฮอกไกโด หนึ่งในจำนวนนี้คือ ภูเขาอาซาฮิดาเคะ (Mt. Asahidake) ที่มีความสูง 2,291 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นจุดที่ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วมากแห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับที่อื่นในญี่ปุ่น โดยจะเริ่มชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน บริเวณไหล่เขาอาซาฮิดาเคะเป็นจุดเดินป่าหรือเทรกกิ้ง (Trekking) ยอดนิยม และยังเต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติสวยๆ มากมาย เช่น สระน้ำซุงะตะมิโนะอิเคะ (Sugatami-no-Ike Pond) ซึ่งเกิดจากน้ำที่เอ่อขังอยู่บริเวณซากภูเขาไฟสระน้ำชิระงะเนะ อะโออิอิเคะ (Shiragane-Aoi-Ike Pond) หรือที่รู้จักกันในชื่อ สระสีฟ้า (Blue Pond) เนื่องมาจากน้ำที่ส่องประกายระยับเป็นสีฟ้าสวยงามในสระนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีกระเช้าลอยฟ้าอาซาฮิดาเคะโรปเวย์ (Asahidake Ropeway) ที่เชื่อมจากสถานีอาซาฮิดาเคะ ซันโระคุ (Asahidake Sanroku) ขึ้นไปยังสถานีซุงะตะมิ (Sugatami) บนความสูง 1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลอีกด้วย
สระสีฟ้า (Blue Pond) เป็นสระน้ำสวยงามชวนพิศวงที่จะสะท้อนเงาของป่าไม้บริเวณรอบๆลงบนผิวน้ำสีโคบอลต์บลู ฤดูที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชมมากที่สุดคือช่วงต้นฤดูร้อนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส แต่ในฤดูหนาวก็สวยงามน่าดึงดูดไม่แพ้กันด้วยภาพของผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งและการประดับไฟไลท์อัพสว่างไสว อีกทั้งบริเวณใกล้ๆกันในเมืองบิเอยังมี “ชิโระงะเนะ อนเซ็น (Shirogane Onsen)” ซึ่งตั้งอยู่เกือบใจกลางฮอกไกโด (Hokkaido) และสามารถนั่งแท็กซี่ไปได้จากสนามบินอะซะฮิคะวะ (Asahikawa Airport)
หุบเขานรกจิโงคุดานิ(Jigokudani noboribetsu ) หรือมีอีกชื่อหนึ่งที่เป็นฉายาที่ได้รับการขนานนามว่า “Hell Valley”ตั้งอยู่เหนือย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึ(Noboribetsu Hot Springs) ภายในจังหวัดฮอกไกโด(Hokkaido) เรียกได้ว่าเป็นหุบเขาที่มีความงดงามอันเลื่องชื่อเลยนะคะ อีกทั้ง น้ร้อนในลำธารของหุบเขาแห่งนี้มีแร่ธาตุกำมะถัน ซึ่งก็เป็นแหล่งต้นน้ำของย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึนั่นเองล่ะค่ะ โดยคนที่ชื่นชอบการผจญภัยแบบเบาๆน่าจะชอบที่นี่ไม่น้อย เพราะจะมีเส้นทางตามหุบเขาสามารถเดินไต่ขึ้นเนินไปเรื่อยๆประมาณ 20-30 นาที วิ่งแรกที่จะเห็นก็จะเป็นบ่อโอยุนุมะ(Oyunuma) ซึ่งบ่อนี้เป็นเป็นบ่อน้ำร้อนกำมะถัน อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส พอยิ่งขึ้นไปสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็ตรงที่จะมีบ่อน้ำร้อนให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆตลอดทาง ก็จะเป็นบ่อเล็กๆ บางบ่อมีอุณหภูมิที่ร้อนกว่า และยังมีบ่อโคลนอีกด้วย น้ำที่ไหลออกจากบ่อโอยุนุมะ เป็นลำธารเรียกว่า “โอยุนุมะกาว่า(Oyunumagawa)” ซึ่งไหลผ่านป่านเป็นแม่น้ำหลายร้อยเมตร จุดนี้เองเราสามารถนั่งเพลินพร้อมแช่เท้าท่ามกลางทัศนียภาพกันงดงามตระการตาของธรรมชาติที่แน่นมากๆ ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีประมาณกลางเดือนตุลาคนของทุกปี ยิ่งถือเป็นช่วงพีคสุดของการท่องเที่ยวของที่นี่เลยนะคะ เพราะเราจะได้เห็นเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่รายล้อมเราเปลี่ยนเป็นสีแดงๆส้มๆทั่วทั้งพื้นที่ บอกเลยว่าสวยขั้นเทพเลยล่ะค่ะ
ที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด (Former Hokkaido Government Office Building) สถานที่ทางราชการที่สำคัญในยุคสมัยก่อนที่ตั้งอยู่ที่เมืองซัปโปโร(Sapporo) นับเป็นอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในไม่กี่อาคารของญี่ปุ่นในสมัยนั้นเชียวนะคะ ซึ่งเมื่อก่อนเค้าจะนิยมสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตขนาดนี้กันที่นี่เลยจะโดดเด่นมาแต่ไหนแต่ไร สิ่งหนึ่งที่ทำให้อาคารมีเอกลักษณ์เฉพาะก็จากการที่มีสไตล์การสร้างแนวอิฐแดงดูแล้วจะอาร์ทๆให้ความรู้สึกไม่เป็นทางการมากเกิน รูปแบบด้านนอกอาจจะเน้นผสมผสานตะวันตกอยู่มากทีเดียวค่ะ โดยที่นี่นั้นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1888 ภายในตกแต่งอย่างหรูหรา ด้านหน้ามีสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก ธงรูปดาวเจ็ดแฉก และสวนหย่อมที่ร่มรื่น เรียงรายด้วยต้นซากุระ และต้นแปะก๊วย เรียกได้ว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิบริเวณแถวๆอาคารนี้สวยไม่แพ้ที่ไหนๆในเมืองเลยล่ะค่ะ
หอนาฬิกาซัปโปโร(Sapporo Clock Tower)นับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโร ที่ถ้ามาเยือนซัปโปโรแล้วไม่มาปักหมุดแล้วล่ะก็เหมือนมาไม่ถึงเลยนะคะ ตัวอาคารของหอนาฬิกาสร้างขึ้นต้นสมัยพัฒนาซัปโปโร ในปี 1878 ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของวิทยาลัยเกษตรซัปโปโร ตัวเรือนนาฬิกาซื้อมาจากกรุงบอสตัน โดยปัจจุบันนั้นหอนาฬิกาแห่งนี้ได้มีการปรับปรุงจนกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่สนใจได้เข้ามาชมกัน ภายในนั้นมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสิ่งก่อสร้าง โดยแบ่งออกเป็น 2 ชั้นด้วยกันนะคะ ในส่วนของชั้นที่ 1 จะเน้นการจัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราว เกร็ดความรู้ และประวัติศาสตร์ของเมืองซัปโปโร และในส่วนที่ชั้น 2 จะจัดแสดงเกี่ยวกับนาฬิกา และยังมีส่วนห้องโถงสำหรับทำพิธีการต่างๆที่กว้างขวาง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่ามาแวะเป็นจุดแรกก่อนไปเที่ยวในส่วนอื่นๆของซัปโปโรเลยทีเดียวค่ะ